ผู้ติดตาม

RSS

หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต

สาขา จิตวิทยาการปรึกษา

COUNSELING PSYCHOLOGY

การมีสุขภาพกายและจิตที่ดี พร้อมที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อ และประสบความสำเร็จ เป็นความปรารถนาของมนุษย์ทุกคน หากท่านมีความต้องการที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้วยการป้องกัน และแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นในระดับบุคคล องค์กรและชุมชน โดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความยินดีขอแนะนำหลักสูตร

วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา(Counseling Psychology)

ซึ่งทำการเปิดสอนเพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองความต้องการในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของประเทศไทย





จิตวิทยาการปรึกษามีอะไรที่น่าสนใจ

จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นจิตวิทยาสาขาหนึ่งที่มุ่งศึกษาเทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อป้องกัน
และแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจ รวมทั้งเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีการพัฒนาศักยภาพที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลและชุมชน
มีความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมยุคโลกาภิวัฒน์
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วท.ม.) สาขาจิตวิทยาการปรึกษา มุ่งผลิตนักจิตวิทยาที่มีคุณธรรมและจริยธรรม
มีความรู้ ทักษะ และความสามารถทางจิตวิทยาเพื่อออกไปทำหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. จัดบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาทั้งแบบรายบุคคลและแบบกลุ่มให้แก่ บุคลากรในสถาบันหรือองค์กรทั้งภาครัฐและ เอกชน

2. จัดโปรแกรมการฝึกอบรมทักษะต่าง ๆ ทางด้านจิตวิทยาเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและพัฒนาบุคลากร

3. การประยุกต์เทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร และเพื่อเพิ่มประสิทธิผล ขององค์กร

4. ประสานงานและให้ความร่วมมือกับบุคลากรในสถาบันหรือองค์กรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของบุคลากร

5. ทดสอบทางด้านจิตวิทยาเพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลนำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่ เหมาะสมและสอดคล้องกับคุณลักษณะของบุคคล

6. ทำการศึกษาวิจัยทางด้านจิตวิทยา เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางด้านสุขภาพจิต ที่อาจเกิดขึ้นกับบุคลากรภายในสถาบันหรือองค์กร



โครงสร้างของหลักสูตร

ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาอย่างน้อย 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปีการศึกษา สำหรับกระบวนวิชาในหลักสูตรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 45 หน่วยกิจ โดยแบ่งเป็นการเรียนกระบวนวิชาต่าง ๆ จำนวน 33 หน่วยกิจและการทำวิทยานิพนธ์ จำนวน 12 หน่วยกิต

กระบวนวิชาหลักที่สำคัญ

1. ทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการปรึกษาแบบรายบุคคล (Theories and Practices of Individual Counseling) ศึกษาทฤษฎีปัจจุบันและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการปรึกษาแบบรายบุคคล เช่น แนวคิดแบบพฤติกรรม แบบการรู้คิด แบบมนุษยนิยม และอื่น ๆ

2. จิตวิทยาการปรึกษาแบบกลุ่มชั้นสูง (Advanced Group Counseling Psychology) ศึกษาทฤษฎีและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรึกษาแบบกลุ่ม และฝึกปฏิบัตติทักษะต่าง ๆ ภายใต้การแนะนำของอาจารย์ผู้สอน

3. จิตวิทยาการปรึกษาสำหรับปัญหาพิเศษยุคร่วมสมัย (Counseling Psychology) การคัดเลือกและฝึกปฏิบัติทฤษฎีการปรึกษาที่เหมาะสมสำหรับปัญหาพิเศษยุคร่วมสมัย เช่น ปัญหาการใช้สารเสพติด การติดเชื้อ HIV การทารุณเด็ก ปัญหาโสเภณีเด็ก การจัดบริการการปรึกษาแก่พนักงานปัจจุบันและพนักงานที่ถูกปลดออกจากงาน เป็นต้น

4. ครอบครัวบำบัด (Family Therapy) การนำเทคนิคต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาประยุกต์เพื่อช่วยเหลือและหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ภายในครอบครัวรวมทั้งส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพจิตที่ดี

5. การวัดผลทางจิตวิทยาการปรึกษา (Psychological Measurement in Counseling) การประยุกต์ใช้แบบทดสอบที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษา ศึกษาวิธีการทดสอบ การแปลผล การรายงานผลการทดสอบและจรรยาบรรณของการทดสอบทางจิตวิทยา

สำหรับวิชาเลือก นักศึกษาสามารถเลือกเรียนกระบวนวิชาอื่น ๆ ในสาขาวิชาฯ อย่างน้อย 1 กระบวนวิชา จากกระบวนวิชาต่าง ๆ ต่อไปนี้ เช่น

-จิตวิทยาการวางแผนและพัฒนาอาชีพ (Psychology of Career Planing and Development)

-จิตวิทยาความเจริญแห่งตน (Growth Psychology)

-สุขภาพจิตชุมชน (Community Mental Health)

-จิตวิทยาการเรียนรู้ และการรู้คิดเชิงประยุกต์ (Psychology of Applied Learning and Cognition)

-ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวิจัย (Personality Theory and Reasearch)

-จิตวิทยาเด็กพิเศษ (Psychology of Exceptional Children)

นอกจากนี้นักศึกษายังสามารถเลือกเรียนกระบวนวิชานอกสาขาฯ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 1 กระบวนวิชา โดยทุกกระบวนวิชา จะมุ่งเน้นให้นักศึกษามีความรู้ที่กว้างขวาง ลึกซึ้ง ทันสมัย และได้รับประสบการณ์ตรงจากการฝึกปฏิบัติ



เรียนจบแล้วสามารถทำงานที่ใดได้บ้าง

หลักสูตรนี้มี ความเหมาะสมสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษาในหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ฝ่ายแนะแนวในโรงเรียน ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาล ฝ่ายแรงงานและสวัสดิการสังคม สถานพินิจคุ้มครองเด็ก มูลนิธิเด็ก องค์การพัฒนาเอกชน สถาบันสุขภาพจิต ศูนย์บำบัดยาเสพติด ฝ่ายกิจการนักศึกษาและแนะแนวอาชีพในมหาวิทยาลัย ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนา ในองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม และเป็นอาจารย์สอนจิตวิทยาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครเข้าศึกษา

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ จากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศที่ทบวงมหาวิทยาลัย และสำนักงาน ก.พ. ให้การรับรอง

วิธีการคัดเลือกผู้เข้าศึกษา

มีการสอบข้อเขียน 2 วิชา คือ ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา (จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาบุคลิกภาพ จิตวิทยาการเรียนรู้ และการวัดผลเชิงจิตวิทยา) และความสามารถในการอ่านบทความภาษาอังกฤษ หลังจากสอบ ผ่านข้อเขียนแล้วจึงจะทำการสอบสัมภาษณ์โดยกำหนดจำนวนนักศึกษาที่รับเข้าศึกษา ปีการศึกษาละ 10-15 คน การสอบคัดเลือกจะจัดขึ้นในราวต้นเดือนมีนาคมของทุกปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต

สาขา จิตวิทยาการปรึกษา

COUNSELING PSYCHOLOGY

การมีสุขภาพกายและจิตที่ดี พร้อมที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อ และประสบความสำเร็จ เป็นความปรารถนาของมนุษย์ทุกคน หากท่านมีความต้องการที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้วยการป้องกัน และแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นในระดับบุคคล องค์กรและชุมชน โดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความยินดีขอแนะนำหลักสูตร

วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา(Counseling Psychology)

ซึ่งทำการเปิดสอนเพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองความต้องการในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของประเทศไทย





จิตวิทยาการปรึกษามีอะไรที่น่าสนใจ

จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นจิตวิทยาสาขาหนึ่งที่มุ่งศึกษาเทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อป้องกัน
และแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจ รวมทั้งเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีการพัฒนาศักยภาพที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลและชุมชน
มีความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมยุคโลกาภิวัฒน์
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วท.ม.) สาขาจิตวิทยาการปรึกษา มุ่งผลิตนักจิตวิทยาที่มีคุณธรรมและจริยธรรม
มีความรู้ ทักษะ และความสามารถทางจิตวิทยาเพื่อออกไปทำหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. จัดบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาทั้งแบบรายบุคคลและแบบกลุ่มให้แก่ บุคลากรในสถาบันหรือองค์กรทั้งภาครัฐและ เอกชน

2. จัดโปรแกรมการฝึกอบรมทักษะต่าง ๆ ทางด้านจิตวิทยาเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและพัฒนาบุคลากร

3. การประยุกต์เทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร และเพื่อเพิ่มประสิทธิผล ขององค์กร

4. ประสานงานและให้ความร่วมมือกับบุคลากรในสถาบันหรือองค์กรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของบุคลากร

5. ทดสอบทางด้านจิตวิทยาเพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลนำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่ เหมาะสมและสอดคล้องกับคุณลักษณะของบุคคล

6. ทำการศึกษาวิจัยทางด้านจิตวิทยา เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางด้านสุขภาพจิต ที่อาจเกิดขึ้นกับบุคลากรภายในสถาบันหรือองค์กร



โครงสร้างของหลักสูตร

ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาอย่างน้อย 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปีการศึกษา สำหรับกระบวนวิชาในหลักสูตรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 45 หน่วยกิจ โดยแบ่งเป็นการเรียนกระบวนวิชาต่าง ๆ จำนวน 33 หน่วยกิจและการทำวิทยานิพนธ์ จำนวน 12 หน่วยกิต

กระบวนวิชาหลักที่สำคัญ

1. ทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการปรึกษาแบบรายบุคคล (Theories and Practices of Individual Counseling) ศึกษาทฤษฎีปัจจุบันและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการปรึกษาแบบรายบุคคล เช่น แนวคิดแบบพฤติกรรม แบบการรู้คิด แบบมนุษยนิยม และอื่น ๆ

2. จิตวิทยาการปรึกษาแบบกลุ่มชั้นสูง (Advanced Group Counseling Psychology) ศึกษาทฤษฎีและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรึกษาแบบกลุ่ม และฝึกปฏิบัตติทักษะต่าง ๆ ภายใต้การแนะนำของอาจารย์ผู้สอน

3. จิตวิทยาการปรึกษาสำหรับปัญหาพิเศษยุคร่วมสมัย (Counseling Psychology) การคัดเลือกและฝึกปฏิบัติทฤษฎีการปรึกษาที่เหมาะสมสำหรับปัญหาพิเศษยุคร่วมสมัย เช่น ปัญหาการใช้สารเสพติด การติดเชื้อ HIV การทารุณเด็ก ปัญหาโสเภณีเด็ก การจัดบริการการปรึกษาแก่พนักงานปัจจุบันและพนักงานที่ถูกปลดออกจากงาน เป็นต้น

4. ครอบครัวบำบัด (Family Therapy) การนำเทคนิคต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาประยุกต์เพื่อช่วยเหลือและหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ภายในครอบครัวรวมทั้งส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพจิตที่ดี

5. การวัดผลทางจิตวิทยาการปรึกษา (Psychological Measurement in Counseling) การประยุกต์ใช้แบบทดสอบที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษา ศึกษาวิธีการทดสอบ การแปลผล การรายงานผลการทดสอบและจรรยาบรรณของการทดสอบทางจิตวิทยา

สำหรับวิชาเลือก นักศึกษาสามารถเลือกเรียนกระบวนวิชาอื่น ๆ ในสาขาวิชาฯ อย่างน้อย 1 กระบวนวิชา จากกระบวนวิชาต่าง ๆ ต่อไปนี้ เช่น

-จิตวิทยาการวางแผนและพัฒนาอาชีพ (Psychology of Career Planing and Development)

-จิตวิทยาความเจริญแห่งตน (Growth Psychology)

-สุขภาพจิตชุมชน (Community Mental Health)

-จิตวิทยาการเรียนรู้ และการรู้คิดเชิงประยุกต์ (Psychology of Applied Learning and Cognition)

-ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวิจัย (Personality Theory and Reasearch)

-จิตวิทยาเด็กพิเศษ (Psychology of Exceptional Children)

นอกจากนี้นักศึกษายังสามารถเลือกเรียนกระบวนวิชานอกสาขาฯ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 1 กระบวนวิชา โดยทุกกระบวนวิชา จะมุ่งเน้นให้นักศึกษามีความรู้ที่กว้างขวาง ลึกซึ้ง ทันสมัย และได้รับประสบการณ์ตรงจากการฝึกปฏิบัติ



เรียนจบแล้วสามารถทำงานที่ใดได้บ้าง

หลักสูตรนี้มี ความเหมาะสมสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษาในหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ฝ่ายแนะแนวในโรงเรียน ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาล ฝ่ายแรงงานและสวัสดิการสังคม สถานพินิจคุ้มครองเด็ก มูลนิธิเด็ก องค์การพัฒนาเอกชน สถาบันสุขภาพจิต ศูนย์บำบัดยาเสพติด ฝ่ายกิจการนักศึกษาและแนะแนวอาชีพในมหาวิทยาลัย ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนา ในองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม และเป็นอาจารย์สอนจิตวิทยาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครเข้าศึกษา

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ จากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศที่ทบวงมหาวิทยาลัย และสำนักงาน ก.พ. ให้การรับรอง

วิธีการคัดเลือกผู้เข้าศึกษา

มีการสอบข้อเขียน 2 วิชา คือ ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา (จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาบุคลิกภาพ จิตวิทยาการเรียนรู้ และการวัดผลเชิงจิตวิทยา) และความสามารถในการอ่านบทความภาษาอังกฤษ หลังจากสอบ ผ่านข้อเขียนแล้วจึงจะทำการสอบสัมภาษณ์โดยกำหนดจำนวนนักศึกษาที่รับเข้าศึกษา ปีการศึกษาละ 10-15 คน การสอบคัดเลือกจะจัดขึ้นในราวต้นเดือนมีนาคมของทุกปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต

สาขา จิตวิทยาการปรึกษา

COUNSELING PSYCHOLOGY

การมีสุขภาพกายและจิตที่ดี พร้อมที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อ และประสบความสำเร็จ เป็นความปรารถนาของมนุษย์ทุกคน หากท่านมีความต้องการที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้วยการป้องกัน และแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นในระดับบุคคล องค์กรและชุมชน โดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความยินดีขอแนะนำหลักสูตร

วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา(Counseling Psychology)

ซึ่งทำการเปิดสอนเพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองความต้องการในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของประเทศไทย





จิตวิทยาการปรึกษามีอะไรที่น่าสนใจ

จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นจิตวิทยาสาขาหนึ่งที่มุ่งศึกษาเทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อป้องกัน
และแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจ รวมทั้งเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีการพัฒนาศักยภาพที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลและชุมชน
มีความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมยุคโลกาภิวัฒน์
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วท.ม.) สาขาจิตวิทยาการปรึกษา มุ่งผลิตนักจิตวิทยาที่มีคุณธรรมและจริยธรรม
มีความรู้ ทักษะ และความสามารถทางจิตวิทยาเพื่อออกไปทำหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. จัดบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาทั้งแบบรายบุคคลและแบบกลุ่มให้แก่ บุคลากรในสถาบันหรือองค์กรทั้งภาครัฐและ เอกชน

2. จัดโปรแกรมการฝึกอบรมทักษะต่าง ๆ ทางด้านจิตวิทยาเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและพัฒนาบุคลากร

3. การประยุกต์เทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร และเพื่อเพิ่มประสิทธิผล ขององค์กร

4. ประสานงานและให้ความร่วมมือกับบุคลากรในสถาบันหรือองค์กรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของบุคลากร

5. ทดสอบทางด้านจิตวิทยาเพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลนำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่ เหมาะสมและสอดคล้องกับคุณลักษณะของบุคคล

6. ทำการศึกษาวิจัยทางด้านจิตวิทยา เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางด้านสุขภาพจิต ที่อาจเกิดขึ้นกับบุคลากรภายในสถาบันหรือองค์กร



โครงสร้างของหลักสูตร

ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาอย่างน้อย 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปีการศึกษา สำหรับกระบวนวิชาในหลักสูตรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 45 หน่วยกิจ โดยแบ่งเป็นการเรียนกระบวนวิชาต่าง ๆ จำนวน 33 หน่วยกิจและการทำวิทยานิพนธ์ จำนวน 12 หน่วยกิต

กระบวนวิชาหลักที่สำคัญ

1. ทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการปรึกษาแบบรายบุคคล (Theories and Practices of Individual Counseling) ศึกษาทฤษฎีปัจจุบันและการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการปรึกษาแบบรายบุคคล เช่น แนวคิดแบบพฤติกรรม แบบการรู้คิด แบบมนุษยนิยม และอื่น ๆ

2. จิตวิทยาการปรึกษาแบบกลุ่มชั้นสูง (Advanced Group Counseling Psychology) ศึกษาทฤษฎีและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรึกษาแบบกลุ่ม และฝึกปฏิบัตติทักษะต่าง ๆ ภายใต้การแนะนำของอาจารย์ผู้สอน

3. จิตวิทยาการปรึกษาสำหรับปัญหาพิเศษยุคร่วมสมัย (Counseling Psychology) การคัดเลือกและฝึกปฏิบัติทฤษฎีการปรึกษาที่เหมาะสมสำหรับปัญหาพิเศษยุคร่วมสมัย เช่น ปัญหาการใช้สารเสพติด การติดเชื้อ HIV การทารุณเด็ก ปัญหาโสเภณีเด็ก การจัดบริการการปรึกษาแก่พนักงานปัจจุบันและพนักงานที่ถูกปลดออกจากงาน เป็นต้น

4. ครอบครัวบำบัด (Family Therapy) การนำเทคนิคต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาประยุกต์เพื่อช่วยเหลือและหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ภายในครอบครัวรวมทั้งส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพจิตที่ดี

5. การวัดผลทางจิตวิทยาการปรึกษา (Psychological Measurement in Counseling) การประยุกต์ใช้แบบทดสอบที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษา ศึกษาวิธีการทดสอบ การแปลผล การรายงานผลการทดสอบและจรรยาบรรณของการทดสอบทางจิตวิทยา

สำหรับวิชาเลือก นักศึกษาสามารถเลือกเรียนกระบวนวิชาอื่น ๆ ในสาขาวิชาฯ อย่างน้อย 1 กระบวนวิชา จากกระบวนวิชาต่าง ๆ ต่อไปนี้ เช่น

-จิตวิทยาการวางแผนและพัฒนาอาชีพ (Psychology of Career Planing and Development)

-จิตวิทยาความเจริญแห่งตน (Growth Psychology)

-สุขภาพจิตชุมชน (Community Mental Health)

-จิตวิทยาการเรียนรู้ และการรู้คิดเชิงประยุกต์ (Psychology of Applied Learning and Cognition)

-ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวิจัย (Personality Theory and Reasearch)

-จิตวิทยาเด็กพิเศษ (Psychology of Exceptional Children)

นอกจากนี้นักศึกษายังสามารถเลือกเรียนกระบวนวิชานอกสาขาฯ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 1 กระบวนวิชา โดยทุกกระบวนวิชา จะมุ่งเน้นให้นักศึกษามีความรู้ที่กว้างขวาง ลึกซึ้ง ทันสมัย และได้รับประสบการณ์ตรงจากการฝึกปฏิบัติ



เรียนจบแล้วสามารถทำงานที่ใดได้บ้าง

หลักสูตรนี้มี ความเหมาะสมสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษาในหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ฝ่ายแนะแนวในโรงเรียน ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาล ฝ่ายแรงงานและสวัสดิการสังคม สถานพินิจคุ้มครองเด็ก มูลนิธิเด็ก องค์การพัฒนาเอกชน สถาบันสุขภาพจิต ศูนย์บำบัดยาเสพติด ฝ่ายกิจการนักศึกษาและแนะแนวอาชีพในมหาวิทยาลัย ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนา ในองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม และเป็นอาจารย์สอนจิตวิทยาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครเข้าศึกษา

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ จากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศที่ทบวงมหาวิทยาลัย และสำนักงาน ก.พ. ให้การรับรอง

วิธีการคัดเลือกผู้เข้าศึกษา

มีการสอบข้อเขียน 2 วิชา คือ ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา (จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาบุคลิกภาพ จิตวิทยาการเรียนรู้ และการวัดผลเชิงจิตวิทยา) และความสามารถในการอ่านบทความภาษาอังกฤษ หลังจากสอบ ผ่านข้อเขียนแล้วจึงจะทำการสอบสัมภาษณ์โดยกำหนดจำนวนนักศึกษาที่รับเข้าศึกษา ปีการศึกษาละ 10-15 คน การสอบคัดเลือกจะจัดขึ้นในราวต้นเดือนมีนาคมของทุกปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จิตวิทยา ..มีเรียนที่ไหน

1.คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย http://www.psy.chula.ac.th/
มีวิชา จิตวิทยาการปรึกษา จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ

2.คณะศิลปศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ http://www.tu.ac.th/
มี จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ

3.คณะสังคมศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.เกษตรศาสตร์ http://psy.soc.ku.ac.th/fsocpsy/
มี จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาชุมชน จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาอุตสาหกรรม

4.คณะมนุษยศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.ศรีนครินทรวิโรฒ http://hu.swu.ac.th/psych/

5.คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการแนะแนว ม.ศรีนครินทรวิโรฒ http://edu.swu.ac.th/

6.คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.ศิลปากร http://www.educ.su.ac.th/program/programI.html

7.คณะมนุษยศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.เชียงใหม่ http://www.human.cmu.ac.th/~psycho/

8.คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.บูรพา http://www.huso.b uu.ac.th/

9.คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการแนะแนวและจิตวิทยาการให้คำปรึกษา http://gep.buu.ac.th/index2.html
มี จิตวิทยาการปรึกษา

10.คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.มหาสารคาม http://www.msu.ac.th/

11.คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.รามคำแหง http://www.edu.ru.ac.th/aspfile/study_1.asp
มี จิตวิทยาสังคม, จิตวิทยาการบริการปรึกษาและแนะแนว, จิตวิทยาคลินิกและชุมชน, จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ, จิตวิทยาพัฒนาการ

12.คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.ทักษิณ http://www.tsu.ac.th/

13.คณะสังคมศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.พายัพ http://psycho.payap.ac.th/
มี จิตวิทยาการให้การปรึกษาและแนะแนว จิตวิทยาสังคม

14.คณะสังคมศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.นเรศวร http://www.social.nu.ac.th/course.htm

15.วิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ศิลปศาสตร สาขาวิชาจิตวิทยา http://www.slc.ac.th/home/th/index.php?option=com_content&task=view&id=40&Itemid=42
มี จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาการปรึกษา จิตวิทยาองค์การ

16.คณะศึกษาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ http://eduit.pn.psu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=169&Itemid=140
มี จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว, การประถมศึกษา-จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว

17.คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยาและการแนะแนว ม.ราชภัฏธนบุรี http://dit.dru.ac.th/home/001/index.php

18.คณะครุศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ม.ราชภัฏวไลยอลงกรณ์

19.คณะครุศาสตร์ สาขาจิตวิทยาและการแนะแนว ม.ราชภัฏนครราชสีมา http://www.edu.nrru.ac.th/psychology/index.asp

20.คณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว ม.เกษตรศาสตร์ http://edupsy.edu.ku.ac.th/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

SuRiViPa 06/05/09 2/4 สูตรแห่งความสำเร็จ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ความโลภในแง่จิตวิทยา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS



ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud : 1856 - 1939) บิดาแห่งวงการจิตวิทยาและจิตวิเคราะห์

ฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคของเขา และแม้ฟรอยด์จะลาโลกไป 70 ปีได้แล้ว วิญญาณของเขาก็ยังตามมาหลอกหลอนนักจิตวิทยาและนักเรียนวรรณคดีทุกยุคทุกสมัยไม่เลิก ฟรอยด์ฝากทฤษฎีไว้ให้วงการวิชาการมากมาย ที่ดังๆ หน่อยและคิดว่าหลายคนคงพอรู้จักก็เช่นทฤษฎี "ปมอีดิปัส" (Oedipus Complex) หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า "ปมฆ่าพ่อล่อแม่" เป็นต้น แม้ว่านักจิตวิทยาหลายต่อหลายคนในยุคหลัง รวมถึงคาร์ล จุง ที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของฟรอยด์ จะนำเสนอทฤษฎีใหม่ๆ ที่หักล้างทฤษฎีเดิมของฟรอยด์เกือบสมบูรณ์ แต่หลายๆ คนก็ยังยึดแนวคิดของฟรอยด์เป็นบรรทัดฐานนิรันดร์กาลอยู่ดี

อนึ่ง ทฤษฎีส่วนใหญ่ของฟรอยด์มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศและโลกียวิสัยของมนุษย์ ทั้งนี้เพราะฟรอยด์เองแกก็เชื่อว่าแรงปรารถนาทางเพศเป็น "แรงขับเคลื่อน" สำคัญของชีวิตมนุษย์ จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า ทฤษฎีของฟรอยด์สอนให้รู้ว่า "ถนนทุกสายมุ่งสู่เรื่องเพศ" และมีการวาดภาพพอร์เทรตของฟรอยด์เพื่อสะท้อนแนวทางคำสอนของเขาเสียงดงามทีเดียว

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จิตวิทยาของวัยรุ่น


วัยรุ่นมีแนวโน้มจะใจร้อนบุ่มบ่าม ชอบเสี่ยง ชอบเพลงสมัยใหม่ การกีฬา ชอบเรื่องตื่นเต้น หรือกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานอื่นๆ แต่บางคนก็อาจเสี่ยงภัยไปสู่เสพยา อุบัติเหตุทางรถ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และอาชญากรรมได้ง่าย มีหลักฐานว่าลักษณะพฤติกรรมชอบเรื่องตื่นเต้น, เรื่อง เสี่ยงนี้เป็นเรื่องของชีววิทยา คือ เป็นเพราะส่วนของสมองของวัยรุ่นที่ควบคุมการทำงานเกี่ยวกับการสังคมและ อารมณ์ความรู้สึก พัฒนาเร็วกว่าส่วนของสมองที่ควบคุมเรื่องเหตุผลการนึกคิดและการควบคุมตัวเอง วัยรุ่นมักจะคิดว่าตนสามารถจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ได้รับอันตราย


สมองโดยรวมของวัยรุ่นยังพัฒนาไม่เต็มที่ การรับรู้ความคิดตัดสินใจต่างๆ ยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่เท่าสมองของผู้ใหญ่ ร่างกายของวัยรุ่นต้องการนอนมากกว่าผู้ใหญ่ แต่เนื่องจากร่างกายของพวกเขาและเธอจะโตเท่าๆ กับผู้ใหญ่แล้ว พ่อแม่จึงมักคาดหมายสูงว่าพวกเขาควรจะทำอะไรอย่างมีเหตุผลแบบผู้ใหญ่และชอบ ดุว่า ว่าพวกเขายังทำตัวเป็นเด็กๆ ซึ่งเป็นการคาดหมายและการวิจารณ์ที่ไม่เป็นธรรมนัก


ถึงแม้ว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่จะมีสภาวะจิตใจที่มีสุขภาพดี แต่บางคนก็สามารถมีปัญหาทางจิตใจได้ วัยรุ่นอาจจะเกิดความเครียดทางอารมณ์โดยการแสดงออกด้วยการกินมากไป นอนมากไป, วิตก กังวลเรื่องรูปร่าง หน้าตามากไป บางคนอยู่ๆ ก็รู้สึกซึมเศร้า อยากปลีกตัวออกห่างจากคนอื่น บางคนสับสนว่าชีวิตมีค่าควรแค่การอยู่ต่อไปหรือไม่ ความเครียดของวัยรุ่นบางครั้งไม่อาจจะเห็นได้ชัดเจน หากพ่อแม่ไม่ช่างสังเกต ไม่ได้เอาใจใส่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ก็จะไม่ค่อยรู้ว่าลูกวัยรุ่นต้องผ่านความยุ่งยากใจอะไรบ้าง


บ้านเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการทางจิตใจของวัยรุ่น บรรยากาศบ้านและครอบครัวมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาจิตใจของวัยรุ่นซึ่งมี ผลไปถึงวัยผู้ใหญ่ด้วย เช่น พ่อแม่ที่ทำร้ายลูก จะทำให้ลูกชอบแกล้งเพื่อนร่วมห้องได้ตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดขวบ และเมื่อเขาโตเป็นวัยรุ่น พฤติกรรมเขาอาจจะเลวร้ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เด็กคนนี้อาจจะเริ่มใช้ยาเสพติดหรือใช้ความรุนแรงกับเพื่อน ถ้าพ่อแม่ไม่สอนให้เด็กรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดตั้งแต่เล็ก ๆ วัยรุ่นจะขาดความรู้ที่จะแยกแยะอะไรถูกผิด และจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ทำให้เขาตัดสินใจผิดๆ ได้


วัยรุ่นเป็นวัยที่พยายามค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตนเอง เรียนรู้บทบาทหน้าที่และพัฒนาความสามารถเฉพาะตน เพื่อที่จะวางแผนชีวิตต่อไปในอนาคต ถ้าเขาค้นหา เอกลักษณ์ (IDENTITY) ของตัว เองพบ เขาจะเข้าใจในบทบาทหน้าที่และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักความสามารถของตน รวมทั้งมีการวางแผนชีวิตที่เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม หากวัยรุ่นเกิดความล้มเหลวในการค้นหาเอกลักษณ์เฉพาะตน เขาก็จะสับสนในบทบาทหน้าที่และมีผลกระทบต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต



ในการค้นหาเอกลักษณ์ของตัวเองแล้ว วัยรุ่นยังปรารถนาที่จะเป็นเหมือนผู้ใดผู้หนึ่งในสังคม นั่นคือวัยรุ่นจะเลือกเอาลักษณะบางอย่างของผู้อื่นมาใช้เป็นลักษณะของตนเอง โดยต้นแบบมักจะได้แก่ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และครูอาจารย์ แต่การเลียนแบบพฤติกรรมนั้นมิได้จำกัดเฉพาะพฤติกรรมที่ดี วัยรุ่นอาจรับเอาลักษณะก้าวร้าวหรือรุนแรงมาได้หากวัยรุ่นผู้นั้นประสบกับ เหตุการณ์ที่โหดร้าย หรือรุนแรงในชีวิต หรืออาจจดจำพฤติกรรมที่ไม่ดีมาจากบุคคลที่ใกล้ชิด ภาพยนตร์ ละคร หรือเกมส์ต่อสู้ต่างๆ ก็ได้


เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้ว่าช่วงการพัฒนาทางสมองของวัยรุ่นนั้น เป็นไปอย่างรวดเร็ว ความคิดต่างๆ ที่มีในช่วงวัยรุ่นจะส่งผลกระทบสำคัญต่อบุคคลนั้นๆ ในระยะยาว โดยเฉพาะจะส่งผลต่อบุคลิกลักษณะและนิสัยของบุคคลนั้นตลอดไป

การเปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึกอารมณ์ ลักษณะทางกายภาพ และความสัมพันธ์ต่อผู้อื่น ทำให้วัยรุ่นมักเครียดและก็กลัวการเปลี่ยนแปลงนั้น ความคิดเรื่องครอบครัวของวัยรุ่นก็เปลี่ยนไป ในมุมมองเก่านั้นจะมองว่าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่วัยรุ่นทุกคนจะชอบ ท้าทายโต้แย้งและปลีกตัวออกห่างจากพ่อแม่ แต่มุมมองใหม่มองว่าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ไปอีกขั้นหนึ่ง และถ้าพ่อแม่เข้าใจจิตวิทยาวัยรุ่นและปฏิบัติต่อลูกวัยรุ่นอย่างเหมาะสม อาจรักษาความผูกพันในครอบครัวไว้ได้ดี พ่อแม่ควรเรียนรู้และใช้จิตวิทยาทางบวก ในการสร้างแรงจูงใจแก่วัยรุ่นเพื่อให้เขาพัฒนาตัวเองมาเป็นบุคคลที่สังคมยอม รับและมีลักษณะเฉพาะ เพราะวัยรุ่นหลายคนมักจะเบื่อ ลังเล และไม่มีแรงจูงใจอยากทำอะไร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

นักจิตวิทยา

นักจิตวิทยา

วิจัยและศึกษากระบวนการทางจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ วินิจฉัยและให้การบำบัดรักษาหรือป้องกันความผิดปกติ/ความแปรปรวนทางจิต : ทดสอบ วิเคราะห์ ตรวจวินิจฉัย เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยา เกี่ยวกับบุคลิกภาพ เชาว์ปัญญา ความฉลาด ความสามารถ ทัศนคติ สภาพทางสมอง วุฒิภาวะทางจิตใจ ประเมินผล ให้ คำปรึกษาแนะนำ บำบัดรักษาทางจิตวิทยา โดยจิตบำบัดรายบุคคล รายกลุ่ม ครอบครัวบำบัด พฤติกรรมบำบัด ผลิตเอกสาร สื่อต่าง ๆ เผยแพร่ความรู้ เพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ป้องกัน ควบคุมและรักษาการติดยาและสารเสพติด ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง กรรมพันธุ์ สังคม อาชีพและปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมของบุคคล ให้คำปรึกษาแนะนำและบำบัดรักษาอาการป่วยทางจิตของแต่ละบุคคล หรือกลุ่มบุคคลด้วยการสนทนาพร้อมทั้งติดตามผล ในกรณีที่ยากแก่การบำบัดรักษาจำเป็นต้องขอความร่วมมือกับสมาชิกในครอบครัว เจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาร่วมแก้ปัญหาในการบำบัดรักษาหรือ ปัญหาต่าง ๆ ศึกษาองค์ประกอบทางด้านจิตวิทยา เพื่อการบำบัดรักษาและป้องกันอาการป่วยทางจิตและอารมณ์หรือการแปรปรวนทาง พฤติกรรมรวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิชาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เขียนรายงานและเอกสารทางวิชาการ ปฏิบัติหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องและควบคุมดูแลผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ


ลักษณะของงานที่ทำ

1. ตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยา โดยการใช้เครื่องมือทดสอบจิตวิทยาที่เป็นมาตรฐาน ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรม และการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ และแปลผลการทดสอบ

2. บำบัดรักษาทางจิตวิทยา เป็นวิธีการบำบัดรักษาที่ไม่ต้องใช้ยา ซึ่งแตกต่างจากจิตแพทย์อาจบำบัดรักษา โดยการใช้ยาได้

3. ศึกษา ค้นคว้า วิจัยทางจิตวิทยาในสาขาที่ปฏิบัติงาน

4. ปฏิบัติงานส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน และป้องกันโรคเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ความรู้ทางจิตวิทยาในรูปแบบการสอน การฝึกอบรม เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีแรงจูงใจ และสนใจจะเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา เพื่อพัฒนาตนเองให้มีสุขภาพจิตดีขึ้น หรือพ้นจากภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิต

ปัจจุบัน นักจิตวิทยาแบ่งตามประเภทของสาขาการศึกษาดังนี้

- สาขาจิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการนำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ในการสำรวจปัญหาทางการศึกษา ตลอดจนสร้างหลักการทางจิตวิทยาที่มีระบบระเบียบวิธีการของตนเอง ถือเป็นศาสตร์หนึ่งทางด้านพฤติกรรมศาสตร์

- สาขาวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology)ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาความสามารถทางพฤติกรรมของมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตาย อย่างเป็นลำดับขั้นตอนว่า มีกระบวนการพัฒนา แต่ละวัยอย่างไร รวมทั้ง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่ต่างๆ ของการพัฒนาโดยเฉพาะทางจิตใจ

- สาขาจิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมอย่างเป็นระบบ เนื้อหาวิชารวมการ ปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด เช่น ศึกษาการรับรู้ การตอบสนอง ระหว่างบุคคล อิทธิพลของบุคคลที่มีต่อผู้อื่น ฯลฯ

- สาขาจิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยให้คนรู้จักและเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งทุกด้าน ช่วยให้คนรู้จักโลกและ สิ่งแวดล้อมของตนช่วยให้คนรู้จักการพัฒนาและสามารถนำศักยภาพหรือความสามารถ ที่ตนมีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น รู้จักเลือกและตัดสินใจอย่างฉลาดเพื่อแก้ปัญหาและปรับตัวอยู่ในสังคมอย่างมี ความสุข

- สาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการ นำความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ในการดำเนินการคัดเลือกบุคคล พัฒนา การบริหาร การจูงใจลูกจ้าง วิจัยตลาด วิจัยด้านมนุษยสัมพันธ์ เพื่อตอบสนองธุรกิจและอุตสาหกรรม

- สาขาจิตวิทยาคลินิค (Clinical Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการปรับตัวของมนุษย์โดยพยายามค้น หาสาเหตุว่าคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือมีความผิดปกติทางจิตใจนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร นักจิตวิทยาคลินิคใช้หลักการและความรู้ทางจิตวิทยามาวิเคราะห์ และบำบัดรักษาผู้ที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ปัญหาทาง สุขภาพจิต โรคประสาท การติดยาเสพติด ความผิดปกติทางเชาวน์ปัญญา ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ตลอดจนปัญหาการปรับตัวอื่นๆ เพื่อค้นหาวิธีการปรับตัวและการแสดงออกที่ดีและเหมาะสมกว่า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

1. สัตว์ชนิดใดต่อไปนี้ที่คุณเกลียดมากที่สุด? 

ก. แมงมุม
ข. แมลงสาบ
ค. ตุ๊กแก
ง. ตะขาบ

 2.ขณะที่คุณกำลังเดินอยู่บนสะพานลอยเพื่อที่จะข้ามถนนไปห้างสรรพสินค้า คุณเจอขอทานบริเวณบันไดทางลง
และคุณให้เงินแก่ขอทาน คุณคิดว่าขอทานคนนั้นมีลักษณะอย่างไร?

ก. ตาบอด
ข. พิการ
ค. คนแก่
ง. เด็ก

 3.คุณนัดกะเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเล และแวะกินอาหารทะเลด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อยทุกคนทานอาหารเหมือนๆ กัน
เมื่อไปถึงที่พัก ปรากฎว่า คุณเกิดท้องเสียแต่เพื่อนๆ ไม่เป็นอะไรเลย คุณคิดว่าอาหารทะเลชนิดใดเป็นสาเหตุให้คุณท้องเสีย?

ก. กุ้ง
ข. หอย
ค. ปู
ง. ปลา
จ. ปลาหมึก

 4.ในวันหยุดคุณเดินทางโดยเครื่องบินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณอยากไปพักผ่อน ขณะที่คุณนั่งเครื่องมาได้ครึ่งทางแล้ว
คุณคิดว่าด้านล่างของเครื่องบินเป็นอะไร?

ก. อาคารบ้านเรือน
ข. ทะเล
ค. ป่าไม้
ง. ทุ่งหญ้า

         ครบ 4 ข้อ แล้วต่อไปเราไปดูเฉลยกันเลยค่ะว่าจะตรงกับตัวคุณหรือเปล่าเอ่ย


The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.The image “http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/Amore.gif” cannot be displayed, because it contains errors.

เฉลย

   1.สัตว์ที่คุณเกลียด สื่อถึงนิสัยบางอย่างที่เมื่อคุณพบในตัวคนรักหรือคนที่คุณกำลังให้ความสนใจ
คุณจะเลิกคบและเลิกให้ความสนใจคนๆ นั้นทันที

ก. แมงมุม สื่อถึง ความลึกลับน่ากลัว
ข. แมงสาบ สื่อถึง ความไม่แน่นอน ลังเลใจ ไม่มีความเป็นผู้นำ
ค. ตุ๊กแก สื่อถึง ความเจ้าเล่ห์ไม่จริงใจ
ง. ตะขาบ สื่อถึง ความสนิทสนมเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง

 2.ลักษณะของขอทาน สื่อถึงบุคคลที่มีความสำคัญหรือจำเป็นต่อชีวิตของคุณซึ่งจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปในทางที่ดี
แต่คุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนๆ นั้น

ก. คนตาบอด สื่อถึงคนรัก หรือเพื่อน
ข. คนพิการ สื่อถึงญาติพี่น้อง
ค. คนแก่ สื่อถึงพ่อแม่
ง. เด็ก สื่อถึงตัวของคุณเอง

 3. อาหารทะเลที่ทำให้คุณท้องเสีย สื่อถึงข้อบกพร่องของคุณที่ควรระมัดระวังเพราะอาจทำให้เพื่อนๆ รู้สึกไม่ดีกับคุณ 

ก. กุ้ง สื่อถึงความไม่มั่นใจในตัวเอง ลังเลตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได ้ต้องขอคำปรึกษาจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
ข. หอย สื่อถึงความขี้เกรงใจ จนบางครั้งมากเกินไป
ค. ปู สื่อถึงความเป็นคนไม่แน่นแน เจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ง. ปลา สื่อถึงความเป็นคนไม่รู้จักพอ เอาแต่ใจตัวเองต้องการความสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลาทำให้บางครั้งคุณอาจแสดง กิริยาเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆ
จ. ปลาหมึก สื่อถึงการเอาเรื่องส่วนตัวของเพื่อนๆ มาพูดในที่สาธารณะ

 4. สิ่งที่คุณเห็นอยู่ด้านล่าง สื่อถึงปัญหาในชีวิตที่คุณอยากจะหนีไปให้พ้น 

ก. อาคารบ้านเรือน สื่อถึงปัญหาที่เกิดจากที่ทำงาน การเรียนหรือความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อนร่วมงาน
ข. ทะเล สื่อถึงปัญหาเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากตัวคุณเอง
ค. ป่าไม้ สื่อถึงปัญหาภายในครอบครัว หรือเรื่องราวความรักของคุณ
ง. ทุ่งหญ้า สื่อถึงปัญหาที่เกิดจากเพื่อน หรือความสัมพันธ์ของคุณกับคนร
อบข้าง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ธรรมชาติของการนินทา

ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวชีวิตของบุคคลอื่นเป็นความ รู้สึกพื้นฐานรูปแบบหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนมี คนบางคนกระหายที่จะรู้มาก แต่บางคนก็แทบจะไม่อยากรับรู้ข้อมูลอะไรเลย เราคงสังเกตเห็นความต้องการลักษณะนี้ในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่ามีเกร็ด ข่าวคนดัง ข่าวซุบซิบของนักการเมือง ดาราภาพยนตร์ แก่-หนุ่ม-สาวไฮโซ หรือนักกีฬา และข่าวอะไรก็ตามของบุคคลดังกล่าวเหล่านี้ จะเป็นเรื่องฮอตที่คนหลายคนสนใจ หรือเวลาเราไปงานสังสรรค์ เรามักจะเห็นคนร่วมงานพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ถ้าเราเดินเข้าไปใกล้กลุ่มสนทนา เราก็คงจับความได้ว่า บุคคลที่คนกลุ่มนั้นกำลังกล่าวขวัญถึงหาได้อยู่ ณ ที่นั้นไม่

นักจิตวิทยาได้สำรวจพบว่า ในวันหนึ่งๆ คนเราใช้เวลาประมาณ 30% ของเวลาสนทนาทั้งหมด พูดถึงบุคคลอื่น และถ้าเป็นกรณีบุคคลที่ทำงานในบริษัท หรือหน่วยงานเดียวกัน 80% ของเวลาสนทนาจะเป็นการซุบซิบนินทา และประมาณครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูดจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สุขภาพ และการเงินอีก 30% เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพการทำงานหรือเรื่องปกปิด เช่นใครจะได้เลื่อนขั้นและใครจะได้ตำแหน่งอะไร เป็นต้น

และสำหรับเหตุผลที่คนเราชอบพูดเรื่องปกปิดนั้น นักจิตวิทยาได้พบว่า คนที่พูดเรื่องลับส่วนใหญ่มักใช้ข้อมูลที่ตนรู้ ในการกวาดต้อนความสนใจจากผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ

แต่การซุบซิบก็มีด้านดีเหมือนกัน F. Wilson แห่ง Chartered Institute of Personnel and Development ในอังกฤษได้พบว่า เวลาบริษัทหรือหน่วยงานมีปัญหา หากเจ้าหน้าที่หรือพนักงานได้พูดถึงปัญหานอกเวลาทำงาน ข้อมูลข่าวสารที่แลกเปลี่ยนกัน อาจทำให้ผู้บริหารระดับสูงรับรู้และนำไปแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะระเบิดได้ ซึ่งถ้าเป็นบริษัทที่มีการบริหารดี ปัญหาลักษณะนี้หรือการซุบซิบเช่นนี้จะไม่เกิด เพราะลูกจ้างหรือพนักงานทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิดเผย และเมื่อใดที่ผู้บริหารบริษัทไม่สนใจไยดี ความรู้สึกหรือความเห็นของลูกจ้าง การซุบซิบนินทาก็จะแพร่ระบาดทันที การไม่มีข้อมูล การไม่สื่อสารกันจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการนินทาว่าร้ายในองค์กร

ตามปกติไม่มีใครชอบคนที่ชอบนินทา นายจ้างเองก็มักจะไม่ไว้ใจคนที่เป็นฆ้องปากแตก และมักจะไม่เลื่อนตำแหน่งหรือขั้นให้ บริษัทในประเทศอังกฤษประมาณ 10% มีแถลงการณ์ห้ามลูกจ้างบริษัทนินทา มีบริษัท 4% ที่ได้เคยไล่ลูกจ้างออกเพราะนินทาคนมากไป ซึ่งมีผลทำให้บรรยากาศทำงานของคนอื่นๆ เสีย

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเรา นิสัยนินทาเป็นพฤติกรรมลบที่ไม่ควรมีแล้วเหตุใด มนุษย์ทุกคนจึงกระทำในการตอบคำถามนี้ นักจิตวิทยาได้ให้เหตุผลว่า การนินทาเป็นพฤติกรรมจำเป็นรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ในการดำรงชีพในสังคม เพราะเราต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลอื่นว่า เขาเป็นคนอย่างไร ร้ายหรือดี การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่คนแต่ละคนรู้จะทำให้เราทุกคนสามารถวางตัวหรือป้องกัน ตัวได้ดีขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เราเผชิญ บุคคลที่คนอื่นเขานินทา เราก็จะรู้ดีว่าเราต้องเดินหมากอย่างไร และข้อดีประการหนึ่งของการนินทาคือ ทำให้คนหลายคนมิกล้าประพฤติชั่วหรือทำบาป เพราะกลัวถูกนินทานั่นเอง

N. Nicholson แห่ง London Business School ได้เคยรายงานบทบาทและความสำคัญของการนินทาในวารสาร Psychology Today ฉบับเดือนพฤษภาคม/มิถุนายน พ.ศ. 2545 ว่า

ในสมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรในทุ่งหญ้า หรือป่าอย่างโดดเดี่ยวและแสวงหาอาหารไปวันๆ การไม่มีภาษาพูด หรือภาษาเขียนสำหรับใช้ในการสื่อสารใดๆ ทำให้โลกยุคนั้น เงียบ ปราศจากการซุบซิบนินทา แต่เมื่อมนุษย์เลิกวิถีชีวิตแบบร่อนเร่ และหันมารวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า มีภาษาและสนทนาค้าขายกัน สมองมนุษย์ได้เริ่มมีวิวัฒนาการเพื่อช่วยให้มนุษย์รู้ใจและเข้าใจบุคคลอื่น ซึ่งความสามารถเช่นนี้เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการป้องกันตัวของมนุษย์เอง และความพยายามนี้ได้ผลักดันให้มนุษย์ระแวดระวังฐานะและสภาพทางสังคมของตน ตลอดเวลา และมนุษย์ก็ได้พบว่า ตราบใดที่ตนเข้าใจความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมของตนดี ตนก็จะประสบความสำเร็จสูงในชีวิต คือมีสุขภาพดี มีฐานะดี และมีความสุข แต่สังคมมนุษย์นั้นมีหลายมิติ ดังนั้น มนุษย์จึงเปรียบเทียบตนกับบุคคลอื่นในมิติต่างๆ เช่น รูปร่าง นิสัย การศึกษา และฐานะ แต่เมื่อมิติเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ดังนั้น มนุษย์จึงมีงานเปรียบเทียบที่ตนรู้สึกว่า ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อให้รู้สถานการณ์ของตนในสังคม สัมพัทธ์กับบุคคลอื่น โดยใช้การเล่าสู่กันฟังนั่นเอง สำหรับเหตุผลที่ชักนำให้คนนินทานั้น

Nicholson คิดว่า เวลานาย ก. บอกนาย ข. เกี่ยวกับเรื่องของนาย ค. ที่นาย ข. เกลียดเข้าไส้ ถึงแม้ ค. จะไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่การเล่าของ ก. ทำให้ ค. เสียหายเรียบร้อย ซึ่งการที่ ก. ทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการบอก ข. ว่า เขาและ ข. เป็นเพื่อนกัน และ ข. เป็นฝ่ายเดียวกับเขา และในขณะเดียวกัน ก. ก็ต้องการบอก ข. ให้คิดว่า เขามีความสำคัญที่ได้ล่วงรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับ ค. ที่ ข. ไม่รู้มาก่อน เหตุการณ์นี้ ถ้ามองย้อนกลับ ข. ก็คงอดคิดไม่ได้ว่า ก. ก็อาจนำเรื่องของ ข. ไปบอกเล่าคนอื่นได้เช่นกัน

การวิจัยเรื่องการนินทาทำให้เรารู้ว่า คนที่จะกล่าวร้ายป้ายสีระดับชาติได้นั้น ต้องมีความชำนาญและทักษะในการเล่ามาก ลีลาบางคนอาจมีท่าทางประกอบ และในขณะที่ เผา คนอื่นไปนั้น บางครั้งก็ทำทีสงสารเขาไปด้วย และคนที่ชอบนินทาคนอื่น มักคิดว่าตนเองมีจริยธรรมสูง อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

การสำรวจพฤติกรรมนินทายังแสดงให้เห็นอีกว่า ผู้หญิงและผู้ชายชอบนินทาพอๆ กัน แต่คนทั่วไปมักคิดว่า ผู้หญิงชอบนินทามากกว่าผู้ชาย และนินทาได้สีสันยิ่งกว่า ส่วนเนื้อหาที่คนชอบนินทานั้น สำหรับผู้ชายก็ชอบพูดถึงข่าวการเมือง ข่าวกีฬา ความก้าวหน้าในการทำงาน ทั้งนี้เพราะผู้ชายชอบแข่งขัน ส่วนผู้หญิงชอบนินทาบุคคลในสังคม และเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม เพราะผู้หญิงต้องการมิตรภาพ และไม่ต้องการคู่แข่งขัน

ส่วนคนที่ถูกนินทานั้นเล่า ก็มีข้อคิดหลายประการว่า ในเมื่อโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา ดังนั้น เวลาถูกใส่ร้ายคนหลายคนจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นไปตามรูปแบบที่คน อื่นๆ ต้องการ เพื่อให้คนอื่นรักพอใจและให้คนอื่นเห็นเขาเป็นคนดีที่หนึ่งเลย แต่ชีวิตของเขาก็จะน่าปวดหัว เพราะเขาต้องใช้ชีวิตตามที่คนอื่นบอกว่า เขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ดังนั้น ทางเลือกสำหรับเรื่องนี้ จึงมีว่าเราน่าจะมองตัวเราเองด้วยสายตาเราหรือสายตาคนอื่น ถ้าเรามองตัวเองด้วยสายตาคนอื่น เพราะคนอื่นเห็นเราในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ถ้าขณะที่เขาเห็นเรา เรากำลังทำความดี เราคือเทพบุตร แต่ถ้าเรากำลังทำชั่ว เราคือนางมารร้าย ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า คำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับเราที่หลุดจากปากคนอื่น แสดงธาตุแท้ของเราน้อยมาก

ในเมื่อคนเราบางคนเวลาไม่ชอบใจใคร ก็มักจะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ สร้างคำพูดหรือนินทาว่าร้าย จนคนที่ถูกพูดถึงรู้สึกเจ็บจนอยู่ไม่เป็นสุข และนี่คือจุดมุ่งหมายสำคัญของการนินทา ดังนั้น เราก็ควรรู้ว่า จะไม่มีใครทำร้ายจิตใจเราได้ ถ้าเราไม่ให้น้ำหนัก หรือความสำคัญในคำพูดของคนคนนั้น เราเป็นเราที่ไม่มีใครเหมือน และเราไม่ต้องการจะเหมือนใคร เพราะความพยายามที่จะให้ใครเป็นคนสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทุกคนตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การนินทาเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งข้อดี เพราะเราทุกคนก็รู้ดีว่า ถ้าไม่มีการนินทา (บ้าง) บรรยากาศการพูดคุยกันก็ไม่มันส์จริงไหม

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทายนิสัยจากการแต่งตัว

โทนสีมืด
มักเป็นคนที่มีความลับ ไม่ชอบการเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง เป็นคนที่มีซับซ้อนอยู่ในตัวเองสูง สนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ ชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจอันซับซ้อนของคน สนใจในเรื่องการศึกษานิสัยใจคน เป็นคนฉลาดล้ำลึก

โทนสีอบอุ่น (สีสว่าง ๆ ใสๆ อ่อนๆ)
มันเป็นคนหัวอ่อน มองโลกในแง่ดี อารมณ์อ่อนไหว เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความรักและเรื่องครอบครัวเป็นอย่างมาก เป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ซึ่งมักจะไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่กล้าคิดไม่กล้าทำอะไรที่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ชอบการตกเป็นข่าวหรือการซุบซิบนินทา ไม่ชอบเป็นจุดเด่น นิสัยขี้อาย ขอบอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ตนเองคุ้นเคย

โทนสีสดใส
ป็นคนนิสัยร่าเริง แจ่มใส มีชีวิตชีวา คุยเก่ง มีมนุษยสัมพันธ์กับคนรอบข้างเข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบการเป็นจุดเด่นให้คนอื่นสนใจ เป็นคนเฉลียวฉลาด ทำงานเก่ง เป็นคนมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามเป็นอย่างมากใครเห็นใครรัก
โทนสีธรรมชาติ เป็นคนที่มีนิสัยชอบความสมถะ ไม่มีความหวือหวา ชอบความเรียบง่ายที่ดูดี เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านศิลปะ สนใจและชอบการทำงานในเชิงสร้างสรรค์ รักสวยรักงาม


โทนสีขาว-ดำ
เป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตค่อนข้างซีเรียสไปเสียทุกเรื่อง และไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน มักจะสนใจและจะทุ่มเทกับการทำงานมากกว่าชีวิตในด้านอื่น จะมีความสุขเป็นพิเศษหากงานที่ตนทำนั้น ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คำถามทางจิตวิทยา

คำถามทางจิตวิทยา !
คำถามข้อที่ 1 ถามว่าคุณสามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชนิด หากโลกจะแตกคุณจะเลือกช่วยอะไร ?
1. กระต่าย 2. แกะ 3. กวาง 4. ม้า


คำถามข้อที่ 2 ถามว่าหากคุณได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมชมเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งในแอฟริกาขากลับเขาจะให้สัตว์อย่างหนึ่ง เพื่อเป็นที่ระลึก คุณจะเลือกตัวอะไร?
1. ลิง 2. สิงโต 3. งู 4. ยีราฟ


คำถามข้อที่ 3 ถามว่าถ้าคุณได้ทำผิดแล้วถูกพระเจ้าลงโทษสาบให้เป็นสัตว์คุณจะเลือกเป็นตัวอะไร?
1. สุนัข 2. แมว 3. ม้า 4. งู


คำถามข้อที่ 4 ถามว่าถ้าคุณมีอำนาจคุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดหายสาบสูญไปจากโลกตลอดกาล ?
1. สิงโต 2. งู 3. จระเข้ 4. ฉลาม


คำถามข้อที่ 5 ถามว่าคุณอยากจะให้สัตว์ชนิดใดพูดภาษาคนได้มากที่สุด ?
1. แกะ 2. ม้า 3. กระต่าย 4. นก


คำถามข้อที่ 6 ถามว่าหากต้องติดอยู่บนเกาะร้างกลางมหาสมุทร คุณอยากจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อน ?
1. มนุษย์ 2. หมู 3. วัว 4. นก


คำถามข้อที่ 7 ถามว่าถ้ามีเวทมนต์คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์เลี้ยง ?
1. ไดโนเสาร์ 2. เสือขาว 3. หมีขั้วโลก 4. เสือดาว


คำถามข้อที่ 8 ถามว่าคุณจะเลือกเป็นตัวอะไรถ้าหากสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้ 5 นาที ?
1. สิงโต 2. แมว 3. ม้า 4. นกพิราบ


******************************************
เฉลยก็คือ


คำถามข้อที่ 1 คุณสามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชนิดหากโลกจะแตกคุณจะเลือกช่วยอะไร?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คนที่มีบุคลิกแบบใดที่ดึงดูดใจคุณมากที่สุด?
1. กระต่าย เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่รักสันโดษ มองภายนอกเป็นคนสงบนิ่ง ซึ่งต่างจากภายในที่ร้อนเหมือนไฟ
2. แกะ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่ดูอบอุ่นและเชื่อฟังคุณ
3. กวาง เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนบุคลิกดี สง่างามและดูภูมิฐานป็น
4. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่รักอิสระเสรี ไม่ชอบทำอะไรตามกฏเกณฑ์และ เป็นตัวของตัวเอง

คำถามข้อที่ 2 หากคุณได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมชมเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งในแอฟริกาขากลับเขาจะให้สัตว์อย่างหนึ่งเพื่อเป็น ที่ระลึก คุณจะเลือกตัวอะไร?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ การจีบแบบใดที่โดนใจคุณมากที่สุด?
1. ลิง เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบสร้างสรรค์ มีอะไรแปลกใหม่มาให้คุณ ประหลาดใจอยู่เสมอเพราะนั่นจะทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ 2. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบตรงไปตรงมา หากรักก็บอกว่ารักกัน ไปเลย
3. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบที่ดูโลเลไม่แน่นอน บางครั้งเขาทำ เหมือน รักคุณมากมาย แต่บางครั้งก็แกล้งทำเหมือนไม่ใส่ใจคุณเลยเพราะนั่นจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายตลอดเวลา
4. ยีราฟเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบที่แสดงถึงความอดทน จริงใจและ พร้อมที่จะให้อภัยคุณได้ทุกอย่าง

คำถามข้อที่ 3 ถ้าคุณได้ทำผิดแล้วถูกพระเจ้าลงโทษสาบให้เป็นสัตว์คุณจะเลือกเป็นตัวอะไร?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ สิ่งใดที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจในตัวเขา?
1. สุนัข เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความซื่อสัตย์ ความมั่นคงและจริงใจที่ไม่เคยเปลี่ยน แปลง
2. แมว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความโก้เก๋ ความมีรสนิยมในตัวเขา
3. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ การมองโลกในแง่ดีของเขา
4. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความเป็นคนง่ายๆ สบายๆ และไม่เรื่องมากของเขา

คำถามข้อที่ 4 ถ้าคุณมีอำนาจ คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดหายสาบสูญไปจากโลกตลอดกาล?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือสิ่งใดที่คุณทนไม่ได้เลยหากคนรักของคุณทำนิสัย แบบนี้?
1. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ การถือตัว ยิ่งยโสและชอบดูถูกคนของเขา
2. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขา
3. จระเข้ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความก้าวร้าว หยาบกระด้างของเขา
4. ฉลาม เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ อาการขี้ตกกังวลและความไม่มั่นใจในตัวเองของเขา

คำถามข้อที่ 5 คุณอยากจะให้สัตว์ชนิดใดพูดภาษาคนได้มากที่สุด?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณอยากให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรักดำเนินไปแบบไหน?
1. แกะ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ สามารถเข้าอกเข้าใจกันได้ และสื่อสารกันด้วยสายตาโดยจำเป็นต้องพูดออกมาและดำเนินความสัมพันธ์ไปเหมือนที่ คนรุ่นพ่อแม่เคยปฏิบัติ
2. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ สามารถเปิดอกพูดคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่มีความลับต่อกัน
3. กระต่ายเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ มีสัมพันธภาพที่อบอุ่นและรักกันหวานชื่นตลอดเวลา
4. นก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงยาวนานเพราะคุณมองไปถึงการสร้างอนาคตร่วมกันด้วย

คำถามข้อที่ 6 หากต้องติดอยู่บนเกาะร้างกลางมหาสมุทร คุณอยากจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อน?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณมีแนวโน้มแค่ไหน เรื่อง ”การนอกใจ”
1. มนุษย์ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณเป็นคนแคร์สังคมและศีลธรรม คุณจะไม่คิดนอกใจ หลังจากแต่งงานแล้วเด็ดขาด
2. หมู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณทนต่อการยั่วยุไม่ค่อยได้ดังนั้นมีแนวโน้มที่คุณจะคิดนอกใจ
3. วัว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณมีความอดทนอดกลั้นดีเยี่ยม คุณพยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
4. นก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณไม่มีความอดทน ดังนั้นมีโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหากมีแรงยั่วยุ

คำถามข้อที่ 7 ถ้ามีเวทมนต์คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์เลี้ยง?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆของคำถามข้อนี้คือ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง”การแต่งงาน”?
1. ไดโนเสาร์เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณเป็นคนมองโลกแง่ร้ายไม่อยากแต่งงาน
2.เสือขาวเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือคุณคิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่มีค่ าถ้าได้แต่งงานคุณจะประคับประคองชีวิตคู่ให้คงไว้ตลอดไป
3. หมีขั้วโลกเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณกลัวการแต่งงานเพราะคิดว่ามันอาจทำให้คุณหมดอิสระ
4. เสือดาวเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณอยากแต่งงาน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตคู่เลย

คำถามข้อที่ 8 คุณจะเลือกเป็นตัวอะไรถ้าหากสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้ 5 นาที?
ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ ” ความรัก”?
1. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณมักจะเหนื่อยเสมอในเรื่องของความรักเพราะคุณยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่รักแต่ก็ใช่ว่าคุณจะตกหลุมรักใครง่ายๆ
2. แมว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณรักตัวเองมากกว่าและคุณก็คิดว่าความรักเป็นแค่อารมณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น
3. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือคุณไม่ต้องการจะทุ่มเทอะไรมากมายเพื่อความรัก แต่สิ่งที่คุณทำไปทุกอย่างก็เพราะไม่อยากจะอยู่คนเดียว เพียงลำพังในโลกใบนี้เท่านั้น
4. นกพิราบ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณคิดว่าความรักนั้น คือการเปิดใจยอมรับที่จะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สาเหตุที่ชีวิตเป็นทุกข์

ชีวิตเป็นทุกข์เพราะขาดสมดุลจากสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้

สิ่งเหล่านั้น ได้แก่

๑. นึกถึงปัญหามากไป บางคนนึกถึงแต่ชีวิตที่มีปัญหา ไม่ได้หาทางออก แต่นึกถึงว่ามันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ บางทีมีเพียงปัญหาเดียว แต่คิดซ้ำๆเกี่ยวกับปัญหานั้นจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ไม่จบสิ้น และมีความทุกข์มาก

จำไว้ว่าปัญหามีไว้ทำลาย ไม่ใช่มีไว้คิด

๒. ขาดเป้าหมายชีวิต อยู่ไปวันหนึ่งๆ ไม่ค่อยได้คิดอะไรเลย ไม่มีเป้าหมาย ทำให้ชีวิตดูกลวงๆไม่มีน้ำหนัก ไม่มีทิศทาง จะทำอะไรก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม เพื่ออะไร เหมือนไม่ได้อยากได้อะไร เพราะไม่รู้ว่าจะอยากได้ไปทำไม ไม่มีแรงบันดาลใจ ขาดศรัทธาในชีวิต

มนุษย์จำเป็นต้องมีเป้าหมายชีวิต และควรตั้งเอาไว้หลายๆอย่าง หลายๆด้าน ในแต่ละวัยของชีวิตจะมีเป้าหมายต่างๆกัน พอโตขึ้นเป้าหมายอาจเป็นเรื่องงาน ชีวิต สังคม ครอบครัว ตัวเอง ฯลฯ จงตั้งเอาไว้เถิด เป้าหมายของชีวิตหลายๆอย่าง แล้วพยายามพิชิตมันทีละอย่าง ผลออกมาก็มีสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ให้พยายามพิชิตเอาไว้ เพราะเป้าหมายมีไว้พิชิต ไม่ใช่มีไว้ดูเฉยๆ

๓. รักและเมตตาคนอื่นมากไป ความรักและเมตตามนุษย์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามีมากไปจะทำให้เราไปผูกใจติดแน่นกับบุคคลเหล่านั้นทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ เดือดร้อนแทนเขาไปหมด จะเกิดเป็นอคติ เข้าข้าง เอาใจช่วยเขาทุกอย่างแม้เขาจะทำผิดก็ตาม

ความรักและเมตตามากๆนี้ ถ้าใช้กับลูกก็จะได้ลูกที่ขาดวินัย เอาแต่ใจตัวเอง เสียเด็ก ถ้าใช้กับแฟน คนรัก เขาก็จะเหลิงได้ใจและไม่เห็นคุณค่าของเรา อาจจะรำคาญเราด้วยซ้ำ ถ้าใช้กับเพื่อนมนุษย์ทั่วไป เขาอาจจะไม่เกรงใจ ลืมให้เกียรติ จึงจำเป็นที่จะต้องมีตัวกำกับเมตตาและความรักเอาไว้ด้วย นั่นกคือต้องมี "อุเบกขา" หัดวางเฉยเสียบ้าง ทำเฉยๆไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ หรือห่างออกมาบ้าง ไม่ใช่ต้องไปใส่ใจ สนใจ และเอาใจช่วยมากตลอดเวลาในทุกๆเรื่อง เท่ากับเราปล่อยให้เขาได้มีช่องว่างที่เป็นความอิสระของชีวิตของเขา ได้มีโอกาสแสดงความสามารถ และได้ช่วยตัวเองในบางเรื่อง ซึ่งอาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร เขาจะได้รู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เขาจะได้ประเมินศักยภาพตัวเองได้ถูกต้อง อย่าลืมมีอุเบกขาเป็นตัวกำกับความเมตตาด้วย

๔. ขาดลักษณะของคนที่ประสบความสุขและความสำเร็จ สังเกตดู คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีลักษณะดังนี้
- หัวเราะบ่อยๆ และ
- มีความรักให้เพื่อนมนุษย์เสมอ

การหัวเราะทำให้เปิดประตูของความสุขทางใจ เปิดรับความสำเร็จได้มากขึ้น แม้เราจะมีความสุขหรือไม่ค่อยสุขนักก็ควรหัดหัวเราะบ่อยๆ ส่วนความรักนั้นควรมีไว้ในใจเสมอๆกับผู้คนรอบข้าง จะทำให้เรารู้สึกเป็นมิตรและอบอุ่นใจ มองโลกในแง่ดี ถึงจะไม่ค่อยมีความสุขและความสำเร็จนัก แต่ถ้าเราหัวเราะบ่อยๆและมีความรักในใจเสมอ ก็เท่ากับเราดึงความสุขและความสำเร็จมาใส่ตัวเราได้มากขึ้น

๕. ขาดความใส่ใจในสิ่งที่ทำ
ความใส่ใจนี้สำคัญมาก เป็นเหมือน "สติ" ที่จะควบคุมให้เราดำเนินกิจกรรมที่ควรทำได้อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ

กิจกรรมที่เราจะต้องเอาใจใส่เสมอได้แก่ การงาน ความรัก และชีวิต

การงาน : จะทำให้ตัวเองมีค่า มีเงินใช้ มีความรับผิดชอบ เพิ่มวุฒิภาวะ
ความรัก : ทำให้มีความสุข มีกำลังใจ จงใส่ใจที่จะรักคนทุกๆคน มากน้อยก็ได้ แต่ให้รักเอาไว้ก่อน และเราไม่จำเป็นต้องเป็นหรือทำอย่างคนทุกคนที่เรารักหรอก บางคนที่เรารักเขา แต่เราไม่ได้อยากเป็นอย่างที่เขาเป็นก็ได้ เพราะเราไม่ชอบหรือเห็นความไม่ถูกต้อง ไม่สมควร
ชีวิต : ทำให้มีโลกนี้ อยากมีชีวิตอยู่ และอยากทำความดีเพื่อโลกในอนาคตต่อไป เรื่องของชีวิตถ้าศึกษาใส่ใจมากขึ้น จะต้องใส่ใจทั้งเรื่องร่างกาย (วัตถุ) จิตใจ (ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติ) และจิตวิญญาณ (สิ่งที่จะต่อเชื่อมกับชีวิตในอนาคต เป็นเรื่องของการพัฒนาความดี และคุณธรรม)

ถ้าเราใส่ใจทั้ง ๓ อย่างนี้ จะทำให้เราก้าวหน้าไปสู่จุดหมายได้มากขึ้น ถ้าเราไม่ใส่ใจ เราจะเดินไม่ถึงจุดหมายดีๆของชีวิต

๖.ขาดการถ่อมตน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เก่งหรือไม่เก่ง ถ้ารู้จักถ่อมตนก็จะมีคนรักมากขึ้น ถ้าไม่ถ่อมตนก็จะมีแต่ศัตรูและคนหมั่นไส้ ถ้าอยากมีมิตรมากขึ้น ไม่อยากให้ใครเกลียด ก็ให้ถ่อมตนและเปิดใจสร้างมิตรภาพให้มากขึ้น เช่น ยิ้มแย้ม ทักทาย ชมเชย และช่วยเหลือเขาก่อน ถ้ารู้จักถ่อมตน ถ่อมใจ จะทำให้เราเห็นคุณค่าของตนเองตามความเป็นจริง และเห็นคุณค่าของคนอื่นๆตามความเป็นจริงได้ ทำให้สามารถเปิดใจรักคนอื่นได้ก่อน โดยไม่เรียกร้องให้เขารักเราก่อนอย่างที่ผ่านๆมา

สังเกตดู มหาสมุทรตั้งอย่ในที่ต่ำ จึงเป็นที่รวมแหล่งน้ำได้ตลอดปีตลอดกาล ส่วนยอดเขาสูงเสียดฟ้าไม่สามารถเก็บน้ำได้เลยสักหยด ฉะนั้นถ้าใครอยากมีมิตร มีความสุข ต้องหัดถ่อมตนเองไว้เสมอ

ทั้ง ๖ ข้อดังกล่าวนี้ เป็นข้อบกพร่องที่พบได้บ่อยของทุกๆคน เป็นเพราะเราลืมคิดหรือนึกไม่ถึง ถ้าใครพยายามเติมให้เต็ม หรือพัฒนาข้อบกพร่องเหล่านี้ได้ก็เท่ากับคุณช่วยเติมเต็มชีวิตของคุณได้มากขึ้น

ชีวิตก็จะไม่ขาดๆหายๆอีกต่อไป

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จิตวิทยา

จิตวิทยา คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (กระบวนการของจิต) , กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว, ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามีความพยายามที่จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุดประสงค์ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและแสดงออกของพฤติกรรม

จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำข้อมูลความรู้มาเสนอ อธิบาย และเพื่อควบคุมและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ จิตวิทยามุ่งศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการของร่างกายกับจิตใจ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นระเบียบแบบแผน เพราะร่างกายและจิตใจมักมีการแสดงออกร่วมกัน อีกทั้งยังแสดงออกในแนวทางที่สามารถทำนายได้

ภาษาทางจิตวิทยาจิตวิทยาก็มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกษาเช่นเดียวกับศาสตร์อื่น ๆ คำศัพท์บางส่วนประกอบด้วยคำศัพท์ที่คนทั่วไปใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน คำศัพท์บางคำก็เป็นคำศัพท์ทางวิชาการที่คุ้นเคย ถึงแม้ศัพท์บางคำจะเป็นที่เข้าใจ และคุ้นเคยของคนทั่วไป แต่นักจิตวิทยาก็ได้ให้ความหมายเฉพาะเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการศึกษาจิตวิทยา

ปัญหาและการเลือกปัญหาของนักจิตวิทยา
เหมือนกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป กระบวนการทางจิตวิทยา เริ่มจากการเลือกปัญหาที่สนใจ แล้วจึง สังเกต ศึกษา หรือทดลอง อย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหา แล้วทำการรวบรวม เรียบเรียง และตีความข้อเท็จจริงที่ได้ หากนักจิตวิทยาพบแนวทางที่จะแก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่กำหนด และสามารถนำมาสัมพันธ์ เกี่ยวข้องเป็นคำตอบของคำถามกว้าง ๆ ได้ นักจิตวิทยาก็จะสนใจ และลงมือศึกษาทันที แต่บางครั้งปัญหาก็เกิดขึ้นจากการสังเกตสิ่งรอบ ๆ ตัว

นักจิตวิทยาได้แบ่งความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาทางจิตวิทยาออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ กลุ่มแรกเห็นว่า การเลือกปัญหานั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้าของนักจิตวิทยา กลุ่มที่สองนั้นกลับเห็นว่า การเลือกปัญหาและการตั้งคำถามควรจะเป็นไปตามทฤษฎี และกลุ่มหลังเห็นว่าความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นเอง เป็นแรงจูงใจที่ดีที่สุดสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเรามองโดยรวมแล้ว จะเห็นว่าทั้งความอยากรู้อยากเห็นและทฤษฎี ต่างก็มีส่วนช่วยในการสังเกต อธิบาย และตีความข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพราะทฤษฎีนั้นมีบทบาทที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่สังเกต และชี้ให้เห็นคำถามใหม่ ๆ อีกทั้งยังชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ของข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นทฤษฎีจึงมีประโยชน์และมีบทบาทเป็นที่ยอมรับทั่วไป

ในทางจิตวิทยานั้นมีทฤษฎีสำหรับผู้ป่วยทางด้านจิตวิทยา
'อยู่มากมาย หลักนั้นมี ทฤษฎีความสับสน คือ ผู้ป่วยนั้นจะเกิดความสับสนและแปรปรวนทางด้านอารมณ์ เกิดจากความไม่แน่นอนของจิต ซึ่งส่วนมากอาการที่แสดงออกมักจะเป็นการทำสิ่งที่ไม่ค่อยปกติ วกวน ไม่แน่นอน และอื่นๆ ทฤษฎีการปฏิเสธ คือ การที่ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตใจซึ่งอาจเกิดจากปัญหาทางบ้าน, ปัญหาทางด้านสังคม ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะโยนเอาปัญหาที่ตัวเองมีอยู่ให้กับผู้อื่น เนื่องจากการที่ไม่สามารถยอมรับปัญหาเหล่านั้นได้ โดยมากแล้วปัญหาเหล่านี้มักจะหายในระยะเวลาไม่นานนัก แต่หากยังมีอยู่ควรพบจิตแพทย์--ดร.แอล.ดี.ชลิปป

วิธีการทางวิทยาศาสตร์เหมือนกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป วิธีการทางจิตวิทยาประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นการสังเกตองค์ประกอบหรือตัวแปรที่สำคัญ ๆ อย่างมีระบบ และขั้นการรวบรวมและตีความข้อมูลที่ได้มา ซึ่งการดำเนินการสังเกตอย่างมีระบบ คือ ความพยายามที่จะกำจัดอิทธิพลของอคติหรือความลำเอียงของผู้สังเกต และสามารถรับรองได้ว่า การสังเกตนั้นสามารถกระทำซ้ำได้

วิธีการสังเกตอย่างมีระบบนั้น มี 2 วิธี ได้แก่
วิธีการทดลอง (experimental method) โดยสร้างสถานการณ์ ขึ้นเพื่อสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดตามมา และ
วิธีการหาความสัมพันธ์ (correlation method) โดยการสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

วิธีการทดลอง
ผู้สังเกตจะถูกเรียกว่าผู้ทดลองที่จะสร้างสภาวะหรือตัวแปรขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์หรือผลกระทบต่อ ตัวแปรอื่น ๆ อาจเป็นการเปรียบเทียบตัวแปรระหว่างกลุ่มทดลอง 2 กลุ่มหรือมากกว่านั้น แล้วรายงานผลการทดลอง หรือผลจากการรวบรวมและตีความหมายของการเปรียบเทียบที่ได้จากการทดลอง วิธีการนี้นิยมกระทำในห้องทดลองหรือห้องปฏิบัติการ เพราะสามารถควบคุมตัวแปรหรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ หรือให้เหลือน้อยที่สุด อีกทั้งการสังเกตก็ สามารถกระทำได้ง่ายและมีความถูกต้องแม่นยำ

ตัวแปรที่ใช้ในการทดลองแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ตัวแปรอิสระ ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่ถูกกำหนดขึ้น และ
ตัวแปรตาม ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่คาดว่าจะเป็นผลจากการกระทำกับตัวแปรอิสระ

หลังจากได้ทราบผลจากการทดลองแล้ว ผู้ทดลองต้องทำการสรุปแล้วรายงานผลการทดลองให้ผู้อื่นทราบ เพื่อให้ผู้อื่นสามารถนำผลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ หรือทำการศึกษาต่อยอดความรู้ออกไป

วิธีการหาความสัมพันธ์วิธีการหาความสัมพันธ์ เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยที่ไม่ได้เจาะจงว่าตัวแปรใดมีอิทธิพลเหนือตัวแปรใด ค่าความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัว เรียกว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (coefficient correlation) ซึ่งจะมีค่าระหว่าง -1.00 ถึง 1.00

วิธีการหาความสัมพันธ์ มีดังต่อไปนี้

1.วิธีวัดทางจิตวิทยา (Psychometric techniques) ใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาและแบบสอบถาม เพื่อวัด ความแตกต่างของลักษณะต่างๆของบุคคล หรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยทั่วไปแบบทดสอบที่ใช้ใน งานวิจัยด้านหาความสัมพันธ์สามารถทดสอบตัวแปรอิสระได้เป็นรายๆไป ดังนั้น วิธีวัดทางจิตวิทยานี้จึงแสดงให้เห็น ความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัว ด้วยผลที่ได้จากการทำแบบทดสอบหรือแบบสอบถามนั่นเอง

2.การสังเกตในสภาพธรรมชาติ (Naturalistic Observation) การสังเกตในสภาพธรรมชาติจะให้ข้อ เท็จจริงได้มากกว่า เพราะเป็นการสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ผู้ถูกสังเกตจะต้องไม่รู้ตัวว่าถูกสังเกต เพื่อให้พฤติกรรม ต่างๆเป็นไปตามธรรมชาติโดยแท้จริง แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการสังเกตระยะหนึ่ง ซึ่งบางครั้งอาจค่อนข้างยาวนาน

3.การสังเกตด้วยวิธีการทางคลีนิค (Clinical Method of Observation) เป็นการศึกษาประวัติรายบุคคล (กรณีศึกษา) ซึ่งจะช่วยให้นักจิตวิทยาเข้าใจประวัติความเป็นมา พื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู รวมไปถึงพื้นฐานของการ เกิดพฤติกรรม เพื่อใช้ประกอบการบำบัดรักษาหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
วิธีการสังเกตดังกล่าวอาจเกิดผิดพลาดด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ผู้ศึกษาจึงต้องมีการวางแผนและได้รับการฝึกฝนอย่างดี โดยเฉพาะการสังเกตวิธีทางคลีนิค ที่ไม่สามารถกระทำซ้ำได้

ทั้งวิธีการทดลองและวิธีการหาความสัมพันธ์ต่างก็มีประโยชน์และความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี แต่หลายๆ ครั้งที่มีการผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน เพื่อการศึกษาที่ละเอียดหลายๆด้าน และเป็นประโยชน์ในทางจิตวิทยามากยิ่งขึ้น

โครงสร้างของจิตวิทยา
จิตวิทยาประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ

1.ลักษณะเนื้อหาวิชา แบ่งเป็นเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ พัฒนาการของมนุษย์, พันธุกรรม, ระบบการตอบสนอง, การรับรู้, การรู้สึก, แรงจูงใจ, อารมณ์, ภาษา การคิด และการแก้ปัญหา, เชาวน์ปัญญาและการทดสอบเชาวน์ปัญญา, บุคลิกภาพแบบต่าง ๆ และการประเมินบุคลิกภาพ, รูปแบบต่างๆของพยาธิสภาพทางพฤติกรรม, จิตบำบัด, และจิตวิทยาชุมชน

2.เป้าหมายของจิตวิทยา เป้าหมายของการศึกษาได้มาจากวิธีการที่แตกต่างกัน 3 ประเภท ได้แก่
การวิจัยบริสุทธิ์หรือการวิจัยพื้นฐาน มาจากการค้นคว้าด้วยใจรัก ค้นหาหลักการของพฤติกรรมทั้งของมนุษย์และสัตว์ โดย ไม่ได้คำนึงว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสังคมได้หรือไม่ ผู้วิจัยต้องเป็นผู้มีระเบียบแบบแผน มีจรรยาบรรณของนักวิจัย มีจริยธรรมและความเป็นกลางทางสังคม

1.การวิจัยประยุกต์ ให้ความสนใจในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ผลจากการวิจัยในปัญหานี้สามารถ นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ การวิจัยดังกล่าวต้องได้รับการวางแผนดำเนินการ ควบคุมวิธีการด้วยความระมัดระวัง การวิจัย บริสุทธิ์ก่อให้เกิดการวิจัยประยุกต์อย่างมีแบบแผน

2.การประยุกต์ใช้ เป็นการประยุกต์คำตอบที่ได้ ไปใช้ในสถานการณ์จริงๆ ในโลกซึ่งไม่มีการควบคุม สภาวะใดๆ นักจิตวิทยากลุ่มที่มีการประยุกต์ใช้มากที่สุด คือ นักจิตวิทยาคลินิก รองลงมาคือ นักจิตวิทยาการศึกษา
3.สถานที่ดำเนินงานทางจิตวิทยา นักจิตวิทยาสาขาต่างๆทำงานในสถานที่แตกต่างกัน บางสาขาทำวิจัยและสอนในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย บาง สาขาทำงานในคลินิกและโรงพยาบาล, ศูนย์บริการให้คำแนะนำปรึกษาต่างๆในโรงเรียน, บริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรม, ศูนย์สุขภาพจิต ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ศูนย์พักฟื้นคนไข้ที่เพิ่งถูกส่งออกจากโรงพยาบาล ศูนย์บริการประชาชน เป็นต้น

ความสัมพันธ์ของจิตวิทยากับศาสตร์อื่น

จิตวิทยามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับศาสตร์ทางชีววิทยา ซึ่งได้แก่ สรีรวิทยา ประสาทวิทยาและชีวเคมี พฤติกรรม ของบุคคลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาจากบุคคลนั้นโดยตรงก่อน ทั้งทางด้านพันธุกรรม ระดับวุฒิภาวะ และสภาพการ เคลื่อนไหวของร่างกาย และปัจจุบันก็สัมพันธ์อย่างเด่นชัดกับมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา โดยมานุษยวิทยาศึกษาจุดกำเนิด ของมนุษย์ และการสืบทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งแวดล้อมทางสังคม ส่วนด้านสังคมวิทยาจะเน้น ศึกษากลุ่มสังคมมากกว่าตัวบุคคล โดยศึกษาการปะทะสังสรรค์ของแต่ละบุคคลในกลุ่ม และศึกษาอิทธิพลของกลุ่มที่มีต่อ แต่ละบุคคล

จิตวิเคราะห์
นักจิตวิทยา ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้พัฒนาวิธีการบำบัดทางจิตเรียกว่าจิตวิเคราะห์ การศึกษาของฟรอยด์เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสังเกต และแปลความหมายพฤติกรรมของคนไข้ของเขา การศึกษาของเขาส่วนมากเป็นการทำความเข้าใจจิตไร้สำนึก การเจ็บป่วยทางจิต และจิตพยาธิวิทยา ทฤษฎีของฟรอยด์เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่นำมาใช้อธิบายพัฒนาการทางพฤติกรรมของมนุษย์ และได้กลายเป็นทฤษฎีที่รู้จักและถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง เพราะเรื่องที่เขาศึกษานั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ การเก็บกดอารมณ์ทางเพศ และจิตไร้สำนึก ซึ่งในช่วงเวลานั้นเรื่องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคม แต่ฟรอยด์ก็สามารถทำให้การศึกษาของเขาเป็นปรเด็นสำหรับการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสุภาพได้




ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยาจิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ

ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย

ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย

กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา

การขยายตัวทางจิตวิทยา
ห้องปฏิบัติการทดลองทางจิตวิทยาห้องแรก ถูกสร้างขึ้นโดย Wilhelm Wundt ในปี ค.ศ. 1879 ที่เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี โดยมีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้น คือ กลุ่มโครงสร้างนิยม (Structuralism) การศึกษาจิตต้องศึกษาส่วนย่อย ๆ ที่ประกอบขึ้นมา ใช้วิธีการพื้นฐานทางจิตวิทยา คือ การสังเกตตนเอง หรือที่เรียกว่า การตรวจพินิจจิต (Introspection)

ในปี ค.ศ. 1890 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้นใหม่อีก คือ กลุ่มหน้าที่นิยม (Functionalism) นักจิตวิทยากลุ่มนี้เห็นว่า จิตวิทยาควรเป็นการศึกษาวิธีการที่คนเราใช้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคคลนั้นพอใจ และเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพของบุคคลนั้นด้วย นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจ ความรู้สำนึก (consciousness) เพราะความรู้สำนึกเป็นเครื่องมือที่ทำให้บุคคลเลือกกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้สำนึกเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ไม่สามารถแยกวิเคราะห์เป็นส่วนย่อยได้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้สนใจศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมมากกว่าการศึกษาพฤติกรรมที่ปรากฏออกมา ให้เห็น

ในช่วงเวลาเดียวกัน ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้เสนอทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) โดยมีวิธีการศึกษา จากการสังเกตและรวบรวมประวัติคนไข้ที่มารับการบำบัดรักษา ฟรอยด์เชื่อว่าความไร้สำนึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และเน้นถึงความต้องการทางเพศตั้งแต่วัยเด็ก

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จอห์น บี วัตสัน ได้ก่อตั้ง กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioralism) โดยเห็นว่า การตรวจพินิจจิตเป็นวิธีการที่ไม่ดีพอ การศึกษาจิตวิทยาควรจะหลีกเลี่ยงการศึกษาจากความรู้สำนึก แล้วหันไปศึกษา พฤติกรรมที่มองเห็นได้ เพื่อให้สามารถทำนายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ และเน้นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมว่ามี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกว่าพันธุกรรมอีกด้วย

ในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศเยอรมนีได้เกิดกลุ่มจิตวิทยาขึ้น ได้แก่ จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) แนวคิดของจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นว่า การทำงานของจิตเป็นการทำงานของส่วนรวม ดังนั้นจึงสนใจศึกษาส่วนรวมมากกว่าส่วน ย่อย แนวคิดนี้เริ่มมีบทบาทขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาชาวอเมริกันเริ่มให้ความสนใจในปัญหาของการรับรู้ การคิดแก้ปัญหาและ บุคลิกภาพ จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของกลุ่มจิตวิทยาการรู้การเข้าใจ (Cognitive psychology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกภายใน ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และต่อจากนั้นมา จิตวิทยาก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปและนิสิตนักศึกษามาก ขึ้นเรื่อยๆ

จิตวิทยาในประเทศไทย
หลายคนเชื่อว่าจิตวิทยาเกิดขึ้นในโลกเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว นั่นคือ จิตวิทยาทางพระพุทธศาสนา นั่นเอง สำหรับในประเทศไทยนั้น เพิ่งมีหลักฐานปรากฏว่ามีการสอนวิชาจิตวิทยาในโรงเรียนฝึกหัดครูปฐม ในช่วงเวลาก่อน พ.ศ. 2473 เล็กน้อย และในปี พ.ศ. 2473 ก็มีการสอนจิตวิทยาเป็นวิชาหนึ่งใน 5 วิชา ของการสอนวิชาครุศาสตร์ในคณะ อักษรศาสตร์และครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 กระทรวงศึกษาธิการด้วยความช่วยเหลือขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้จัดตั้ง สถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็กขึ้นในวิทยาลัยวิชาการศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่วิชาเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก ต่อมามีการศึกษาที่กว้างขวางมากขึ้น ใน สถาบันอื่นก็ได้เปิดหลักสูตรวิชาจิตวิทยาในหลายสาขา ในปัจจุบันและในอนาคต มีการคาดหวังไว้ว่าจิตวิทยาในประเทศไทย จะเจริญก้าวหน้า ช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS